คาดนเอเชียแปซิฟิกปี 63 อสังหาริมทรัพย์บูม มีแนวโน้มแซงหน้าทุกภูมิภาค อสังหาริมทรัพย์

อสังหาริมทรัพย์

โดยบริษัท JLL บริษัทที่ให้บริการทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่ามีการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เจาะจงข้อมูลในเอเชียแปซิฟิก จัดเป็นจำนวนเงิน 125,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น 10% จากช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2561 นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์กันว่าปีหน้า การลงทุนซื้อ-ขายจะยิ่งมีความคึกคักมากยิ่งขึ้น

เหตุใดถึงคึกคักมากขนาดนี้

เหตุผลก็ คือ เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่นักลงทุน ยังคงสามารถค้นหาโอกาส ในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง อีกทั้งยังมีความมั่นคงหนักแน่น ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางสถานการณ์โลกทางการเมืองในระดับสูง ถึงแม้ทางด้านเศรษฐกิจจะพบการชะลอตัว แต่การลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ก็จัดเป็นปัจจัยพิเศษ ที่ทำให้ทั่วโลกมีการผันผวน เม็ดเงินลงทุนเพื่อเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่า เอเชียแปซิฟิก จะเป็นภูมิภาค ซึ่งมีการลงทุนซื้อ-ขาย เกิดขึ้นมากที่สุด โดยพุ่งแรงเกินยุโรปและอเมริกาเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งยังได้รับความสนใจ จากนักลงทุนทั่วโลกมากขึ้นอีกด้วย

แนวโน้มสำคัญที่จะเกิดขึ้นในปี พ.. 2563

สำหรับแนวโน้มที่ดี ทางด้านอสังหาริมทรัพย์นั้น ได้แก่…

อสังหาริมทรัพย์ประเภท Logistic

ในปี พ.ศ.2563 นักลงทุนให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้น ในอสังหาริมทรัพย์ประเภท Logistic เช่น โกดัง, ศูนย์จัดเก็บ และการกระจายสินค้า มีข้อดี คือ เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถปล่อยเช่าได้ง่าย อีกทั้งยังมีค่าเช่าดีอีกด้วย มีนักลงทุนจำนวนมากที่เข้าร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการโลจิสติกส์ เพื่อทำให้ธุรกิจในภาคส่วนของเขานั้นเติบโตขึ้น

อาคารเขียว ที่ใส่ใจในสิ่งแวดล้อม

ในปัจจุบันนี้โลกของเรากำลังประสบกับปัญหา เรื่องมลพิษ และภาวะที่ไม่พึงประสงค์ของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะนั้นจึงทำให้ โครงการอสังหาริมทรัพย์รุ่นใหม่ทั้งหลาย ได้รับการออกแบบก่อสร้าง ด้วยการคำนึงถึงผลกระทบ ทางด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อีกทั้งยังมีความใส่ใจทางด้านการใช้เทคโนโลยีด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดการประหยัดต้นทุน รวมทั้งการออกแบบอันเต็มเปี่ยมไปด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะเข้ามามีส่วนช่วย ในการสร้างจุดขาย รวมทั้งระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอาคารได้เป็นอย่างดี

โดยรัฐบาลในประเทศในเอเชียแปซิฟิกทั้งหลาย เกิดความตระหนักรู้ ถึงประโยชน์รวมทั้งความยั่งยืน ทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมาพร้อมความคิดในเชิงรุก ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงหลายๆ เมือง ให้มีการยกระดับได้อย่างน่าสนใจ กลายเป็นเมืองอัจฉริยะ อีกทั้งยังมีความน่าอยู่มากขึ้นกว่าแต่ก่อน

ยกตัวอย่าง ประเทศสิงคโปร์ ที่มีการดำเนินแผนการความยั่งยืน ทางด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการผลักดันให้ธุรกิจออกไปอยู่นอกเขตศูนย์กลางมากขึ้น เพื่อให้ไม่เกิดการกระจุกตัวเพียงแต่ในสถานที่ใดที่หนึ่ง พร้อมทั้งการสนับสนุน ให้เกิดการพัฒนาอาคารสำนักงานที่เก่าแล้ว ให้นำมากลับมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมาพร้อมการรณรงค์ให้ประชาชนลดการใช้รถส่วนบุคคล หันมาใช้รถสาธารณะมากขึ้น เพื่อการเดินทางอันคล่องแคล่วบนท้องถนน

เมืองอัจฉริยะ

รายงานวิจัยของ JLL ที่มีชื่อว่า Premium Office Rent Tracker ได้นำเสนอข้อมูล รวมทั้งบทวิเคราะห์ที่ศึกษาเกี่ยวกับค่าเช่าอาคารสำนักงานระดับ A+ ที่ตั้งอยู่ในในย่านธุรกิจ สำคัญๆ ของเมืองต่างๆ ทั่วโลก พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า บริษัทในภาคธุรกิจ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีนั้น เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในฐานะผู้เช่าพื้นที่สำนักงานระดับ A+ โดยจากเดิมที่ผู้เช่าหลัก เป็นบริษัทในภาคธุรกิจ, การเงิน, การธนาคาร เท่านั้น ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจน ในเมืองที่มีความก้าวหน้าอย่าง ปักกิ่ง, โตเกียว, โซล, โอซาก้า เป็นต้น สำหรับระบบนิเวศทางนวัตกรรมเหล่านี้ ดึงดูดนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นอย่างดีแน่นอน หากแต่ถึงกระนั้นก็ยังมีการดึงดูดให้บริษัท – องค์กรต่างๆ ให้เข้ามาในเมืองเหล่านี้อีกด้วย เพราะเป็นแหล่งรวมของแรงงานที่มีทักษะซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จในตลาดโลกได้นั่นเอง