
เมื่อไม่นานมานี้มานี้ได้มีข่าวซึ่งเรียกได้ว่าในระดับโลกนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก หลังจากล่าสุด โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัสอเมริกาได้มีการถอนสหัสรัฐฯ ออกจาก TPP โดยนายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีฯ การค้าระหว่างประเทศในการเจรจาต่างๆ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ในขณะนี้ประเทศไทยเองต้องรีบดันการเจรจา RECP หรืออาเซียน +6 ให้ได้เร็วที่สุด พร้อมทั้งกล่าวว่า REPC มีความทันสมัยขึ้นมากในปัจจุบันไม่แพ้ TPP เลยล่ะ ซึ่งปัญหาตรงนี้อย่างที่กล่าวไปว่า ทรัมป์ได้ถอนตัวกระทันหันการเจรจายุทธศาสตร์การค้างต่างๆ จึงต้องหยุดลงไป ซึ่งประเทศญี่ปุ่นจึงมีการนัดรวมตัวกันของ RECP เพื่อที่จะมีการปรึกษาหารือในเรื่องนี้ ถ้าปล่อยไว้นานอาจจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้ ซึ่งประเทศต่างๆ ก็เริ่มมองเข้ามาแล้วว่าทาง RECP จะทำอย่างไรต่อไป เพราะมีผลกระทบต่อ GDP ถึง 29% ของ GDP โลกเลยทีเดียว และแน่นอนรวมไปถึงการขยายตัวด้วยเช่นกัน ดังนั้นต้องมีการประชุมจากประเทศสมาชิกให้เห็นถึงความชัดเจนให้ดีที่สุด
โดยล่าสุดทาง RECP ได้เน้นไปในธุรกิจบริการ การเปิดตลาดสินค้าในประเภทของการบริการโดยจะมีการทำการเปิดเสรีมากขึ้นจากทุกประเทศสมาชิก โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงถึง 80% เลยทีเดียว สำหรับในส่วนจอง 20% ที่เหลือคงจะต้องมีการประชุมกันอีกทีเนื่องจากเป็นปัญหาที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนไม่ว่าจะในด้านของภาษีอากรต่างๆ ของแต่ละประเทศ เป็นผลประโยชร์จากประเทศต่างๆ ที่พึงจะได้รับ ตรงจุดนี้ถ้าคุยกันและตกลงกันได้จะเป็นสิ่งที่ทำให้แต่ละประเทศจะได้รับประโยชร์เป็นอย่างมากเลยนั่นเอง
โดยที่มีการประชุมค้างเอาไว้โดย RECP ได้มีการตกลงร่วมกัน 80% ที่ได้กล่าวไปข้างต้น แบ่งเป็นสินค้าบางประเภทที่มีการลดภาษีอากร 0% สูงถึง 65% เรียกได้ว่าไปในทิศทางที่ดีเลยทีเดียว ส่วนสำหรับอีก 15% ที่เหลือนั้น ต้องใช้ระยะเวลา ไม่เกิน 10 ปีเพื่อทำการลดให้เหลือ 0% ดังนั้นตรงจุดนี้ถือว่าสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับทีมเจรจาการค้าจองประเทศไทยเรานั่นเอง แต่ก่อนอื่นต้องมีการกลับมาเจรจาภายในประเทศไทยเราก่อนกับทางบริษัทเอกชนต่างๆ เพื่อเป็นการเปิดตลาด และนำรายชื่อสินค้าของเราไปนำเสนอกับประเทศต่างๆ ใน RECP เพื่อเจรจาในการทำการเปิดตลาดในคราวต่อๆ ไป โดยสำหรับหัวข้อต่อมาที่ฝ่ายเจรจาได้กล่าวไว้ก็คือ ประเทศไทยของเรานั้นต้องมีการศึกษาในเรื่องของกฎหมายให้ดีๆ ในการทำการค้างระหว่างประเทศ เพราะรายละเอียดเหล่านี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน อาจจะเกิดช่องโหว่ขึ้นได้ ดังนั้นเราต้องศึกษาข้อมูลไปดีๆ รวมถึงประเทศต่างๆ ที่ไทยเราเป็นภาคีในการทำการค้าอีกด้วยเช่นกัน ในส่วนนี้ถือว่าสำคัญเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
ก็อย่างที่กล่าวไปนั่นล่ะว่าถ้าเกิดปัญหาในการทำการค้าขึ้นมาทางประเทศนั้นๆมีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องทางรัฐบาลของประเทศไทยเราได้ แต่ไทยเราก็ได้มีการป้องกันเอาไว้แล้วเช่นกัน ส่วนธุรกิจที่ทางประเทศไทยเราอยากจะเปิดเสรีซึ่งมีการสนับสนุนจากทางรัฐบาลนั้นก็คือ อุตสาหกรรมต่างๆในด้านของการทำการผลิต, ธุรกิจประเภทการให้บริการ เช่น การท่องเที่ยว เซอร์วิสต่างๆ และรวมไปถึง ธุรกิจอย่าง E-commerce ที่เน้นการทำธุรกิจออนไลน์และการป้องกันกฎหมายด้านธุรกิจออนไลน์
ท่าทีของประเทศไทยเราแสดงออกถึงความเป็นกลางไม่มีการทะเลาะหรือโต้แย้งกับใคร แต่ทางรัฐบาลก็ได้กำชับไปว่าอย่าแสดงออกถึงความอ่อนแอเป็นอันขาด เราเจรจาเพื่อทำการค้าไม่ใช่ให้ประเทศไหนมาเอาเปรียบได้ ดังนั้นต้องมีการศึกษาขเอกฎหมายการค้างระหว่างประเทศไปให้ดีๆ รวมถึงประเภทของธุรกิจต่างๆ เพื่อการเจรจากสรค้าเสรีกับ RECP จะได้ไม่เกิดปัญหาและสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีนั่นเอง